แพลนท์ แฟคตอรี่ (Plant Factory) โรงงานผลิตพืชแห่งอนาคต ประสิทธิภาพสูง ผลิตได้เร็ว และปริมาณมากกว่าผักบนดินหลายเท่าตัว
Plant Factory หรือ Vertical Farming System-Plant Factory with Artificial Lighting (PFAL) นวัตกรรมในการทำการเกษตรรูปแบบใหม่ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงและสม่ำเสมอ แข็งแรงปราศจากโรค แมลง สารเคมีปนเปื้อน
โดยไม่ขึ้นกับฤดูกาลของผลผลิต และปัจจัยของธรรมชาติ ซึ่ง Plant Factory สามารถปลูกพืชในแนวตั้งได้หลายชั้น อาจมากถึง 10 ชั้น เป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เหมาะกับสถานที่ที่มีพื้นจำกัด โดยชนิดพืชที่เหมาะแก่การปลูกด้วยระบบ Plant Factory ได้แก่ กลุ่มพืชอาหารหลัก เช่น ข้าว ข้าวสาลี มันฝรั่ง และอ้อย กลุ่มพืชเพื่อสุขภาพ เช่น พืชผัก และพืชสมุนไพร รวมถึงไม้ดอก
โดยรูปแบบ Plant Factory แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
ประเภทที่ 1 เหมาะกับเกษตรกรที่เพิ่งเริ่มต้น มีเงินทุนไม่มาก ที่อยากได้ผลผลิตที่สม่ำเสมอ ลดต้นทุนค่าแรงงาน เพราะประเภทนี้จะปลูกพืชโดยใช้แสงแดดธรรมชาติ และสภาพอากาศของประเทศไทยก็มีแสงแดดที่ดีอยู่แล้ว
ประเภทที่ 2 จะมีต้นทุนในการติดหลอดไฟเพิ่มเข้ามา แต่ผลผลิตที่ได้ก็คุ้มค่ากับการลงทุน ซึ่งตอนนี้ทางศูนย์ได้ใช้โรงปลูกพืชระบบเปิด ชนิดใช้แสงธรรมชาติร่วมกับแสงเทียม ปลูกผักสลัด เมล่อน บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมอนันตรา ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ รีสอร์ต ผลผลิตที่ได้จะนำมาประกอบอาหารให้กับผู้ที่เข้าพักโรงแรมให้ได้รับประทานผักผลไม้ที่มีคุณภาพ และสดใหม่ โดยมีพื้นที่การปลูกกว่า 4,000 ตารางเมตร ใช้ผู้ดูแลเพียง 2 คน โดยจะดูแลตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะเมล็ดไปจนถึงขั้นตอนเก็บเกี่ยวและส่งไปยังครัวของโรงแรม
ประเภทที่ 3 เหมาะสำหรับการปลูกเพื่อทำการวิจัย หรือต้องการนำสารจากพืชไปสกัดเป็นยาและเวชสำอาง เนื่องจากค่อนข้างมีต้นทุนที่สูง วิธีนี้เหมาะกับผู้ลงทุนที่มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน และต้องการได้ผลผลิตและคุณภาพที่สม่ำเสมอ
ยกตัวอย่าง ขมิ้น ที่ประเทศไทยมีพื้นที่การปลูกเยอะ แต่ประเทศไทยก็ยังต้องนำเข้าสารเคอร์คูมินอยด์ในขมิ้นเพื่อนำมาทำเป็นยา สาเหตุมาจากรูปแบบการปลูกขมิ้นในประเทศไทยที่ส่วนใหญ่มักจะปลูกตามหัวไร่ปลายนา ซึ่งปัจจัยการเจริญเติบโตต่างๆ ทั้ง แสง อุณหภูมิ ความชื้น หรือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทำให้ปลูกยาก และสารที่มีประโยชน์ก็หายไป ซึ่งการปลูกแบบระบบปิดชนิดใช้แสงเทียมสามารถช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ โดยกระบวนการทำงานของระบบปลูกชนิดนี้ก็คือ จะใช้ระบบสั่งการผ่านมือถือ หรือคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่การวัดระดับความชื้น วัดอุณหภูมิรอบห้อง วัดระดับก๊าซออกซิเจนภายในห้อง และสามารถจ่ายน้ำ ปุ๋ย ได้โดยอัตโนมัติ
ข้อดีของ Plant Factory
1. ประหยัดพื้นที่ ขนาดของโรงเรือนเพียง 24 ตารางเมตร สามารถปลูกผักสลัดได้ถึง 5,000 ต้น และสามารถใช้แสงเร่งสารกระตุ้นพืชได้ เช่น ทำให้ไนเตรตต่ำลง ให้วิตามินเพิ่มขึ้น เพื่อส่งไปวิจัยต่อ
2. ผลผลิตที่ได้ค่อนข้างแน่นอน ปลูกผัก 100 ต้น ผลผลิตที่ได้ออกมาสม่ำเสมอและสมบูรณ์กว่า 99 เปอร์เซ็นต์
3. หมดปัญหาเรื่องโรค และแมลง เพราะเป็นโรงเรือนระบบปิด ก่อนเข้าออกทุกครั้งจะต้องมีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อ ก่อนเสมอ มีห้องแอร์เชาเวอร์ป้องกันสิ่งปฏิกูล
4. น้ำสำคัญมาก เพราะว่าตอนนี้ประเทศไทยกำลังประสบวิกฤตภัยแล้ง แต่ Plant Factory สามารถรีไซเคิลน้ำเพื่อนำไปใช้ในการปลูกได้ 4 รอบ
5. ลดระยะเวลาการปลูกให้สั้นลง จากเดิมปลูกในดิน ใช้เวลา 60-75 วัน แต่ Plant Factory ใช้ระยะปลูกเพียง 30 วัน หรือถ้าเป็นสมุนไพรกัญชาที่ทางศูนย์ทำการวิจัยร่วมกับไบโอเทค สามารถลดเวลาการปลูกได้จาก 1 ปี เหลือเพียง 4 เดือน ก็จะสามารถนำดอกมาใช้ทำยาได้แล้ว
ต้นทุนการผลิต
ต้นทุนการผลิตเริ่มตั้งแต่ตารางเมตรละหลักพันจนถึงหลักหมื่น ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ และอุปกรณ์ที่เลือกใช้ ถ้าอุปกรณ์ราคาสูง ก็จะสามารถควบคุมทุกอย่างได้ด้วยคอมพิวเตอร์ แต่ถ้ามีเงินทุนน้อยก็อาจจะต้องใช้แรงงานคนเข้าไปช่วยในบางส่วน ในส่วนของโรงเรือนปลูกระบบปิดกันความชื้นจะมีราคาสูง แต่ถ้าเป็นกรีนเฮ้าส์ ที่ใช้แสงอาทิตย์ก็จะช่วยลดต้นทุนในการติดหลอดไฟไปได้มาก ในช่วงแรกจะใช้เงินลงทุนเยอะในการเซ็ตอัพระบบ แต่หลังจากนั้นต้นทุนจะถูกลง ซึ่งค่าใช้จ่ายเบื้องต้นจะมีดังนี้ ค่าไฟปั๊มน้ำ ประมาณ 13 บาท ต่อเดือน ค่าน้ำ ใช้น้ำทั้งหมด 0.25 คิว ต่อ 1 เดือน ค่าปุ๋ย ใช้ประมาณ 180 บาท ต่อเดือน เป็นต้น