สายงานการตลาด วิจัยและพัฒนา
บริษัท ไทยเซ็นทรัลเคมี จำกัด (มหาชน)
พืชและสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องการธาตุอาหารเพื่อใช้ในการดำรงชีพ ธาตุอาหารจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จำกัดการเจริญเติบโตและการสร้างผลผลิตของพืช โดยธาตุอาหารพืชในดินแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามปริมาณและความต้องการของพืช คือ ธาตุอาหารหลัก เป็นธาตุที่มีความสำคัญ ที่พืชต้องการใช้ในปริมาณมาก ประกอบด้วย ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) ธาตุอาหารรอง เป็นธาตุอาหารที่พืชใช้ในปริมาณที่น้อยกว่าธาตุอาหารหลัก ประกอบด้วย แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) และกำมะถัน (S) และ ธาตุอาหารเสริมหรือจุลธาตุ เป็นธาตุที่พืชต้องการใช้ในปริมาณน้อย ประกอบด้วย เหล็ก (Fe) แมงกานีส (Mn) โบรอน (B) โมลิบดินัม (Mo) ทองแดง (Cu) สังกะสี (Zn) คลอรีน (Cl) และนิกเกิล (Ni)
ภาพที่ 1 ธาตุอาหารพืช
ความต้องการของธาตุอาหารแตกต่างกันไปตามชนิดและระยะการเจริญเติบโตของพืช หากพืชได้รับธาตุอาหารเพียงพอตามความต้องการพื้นฐาน พืชจะสามารถเจริญเติบโตและให้ผลผลิตได้ตามปกติ แต่เมื่อปริมาณธาตุอาหารที่จำเป็นบางธาตุลดลงจนใกล้ถึงระดับวิกฤติ ธาตุอาหารดังกล่าวจะเป็นตัวจำกัดการเจริญเติบโตและผลผลิตของพืช ลีบิก นักพฤกษศาสตร์และสรีระวิทยาพบว่า ผลผลิตของพืชไม่ได้ถูกจำกัดด้วยธาตุอาหารที่มีปริมาณมากในดิน แต่ถูกจำกัดด้วยธาตุอาหารที่มีปริมาณน้อยในดิน หรือที่เรียกว่า “กฏปริมาณต่ำสุด (Law of The Minimum)” โดยสามารถอธิบายให้เห็นภาพได้ง่ายและชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยการเปรียบเทียบกับถังไม้ (ภาพที่ 2) โดยความสั้นยาวของซี่ไม้หมายถึงปริมาณธาตุอาหารแต่ละธาตุที่มีอยู่ในดิน ซี่ของไม้ที่สั้นที่สุดเปรียบเหมือนปริมาณธาตุอาหารในดินที่มีอยู่น้อยที่สุด ส่งผลให้ผลผลิตที่บรรจุอยู่ภายในถังไม้เสียหายหรือรั่วไหลออกมา ดังนั้นธาตุอาหารดังกล่าวจึงเป็นตัวจำกัดการเจริญเติบโตและผลผลิตของพืช
ภาพที่ 2 กฏปริมาณต่ำสุดของไลบิก
ยกตัวอย่างเช่น หากการจัดการธาตุอาหารในพื้นที่ มีแนวทางการใส่ปุ๋ยสูตรที่มีไนโตรเจน (ปุ๋ยตัวหน้า) และฟอสฟอรัส (ปุ๋ยตัวกลาง) สูง แต่ในดินมีปริมาณโพแทสเซียมอยู่น้อย หรือไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช ดังนั้นหากมีการใส่ปุ๋ยสูตรเดิมที่มีไนโตรเจนหรือฟอสฟอรัสสูงแต่ใส่ในอัตราที่สูงขึ้น พืชก็ยังไม่สามารถให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากโพแทสเซียมที่มีอยู่น้อยในดินเป็นธาตุอาหารที่จำกัดผลผลิตของพืช ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องใส่ปุ๋ยโพแทสเซียม (ปุ๋ยตัวท้าย) ให้มากขึ้นกว่าเดิมที่เคยใส่ เพื่อป้องกันไม่ให้พืชชะงักการเจริญเติบโต หรือผลผลิตเสียหายจากการขาดธาตุโพแทสเซียม นอกจากนี้การใส่ปุ๋ยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดควรคำนึงถึงหลักการใส่ปุ๋ยที่เหมาะสม ดังนี้ ถูกสูตร ใส่ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารครบถ้วนตามชนิดและความต้องการของพืช ถูกเวลา ควรใส่ปุ๋ยให้ตรงตามระยะการเจริญเติบโตของพืช เช่น ระยะการเจริญเติบโตทางต้นและใบ ระยะสะสมอาหาร และระยะเพิ่มคุณภาพผลผลิต ถูกอัตรา ใช้ปริมาณปุ๋ยในอัตราที่เหมาะสมหากใส่ปุ๋ยในปริมาณมากเกินไปอาจะส่งผลให้เป็นพิษต่อพืช หริอหากใส่ในปริมาณน้อยเกินไปอาจเพียงพอต่อความต้องการพืช และถูกวิธี ควรฝังกลบปุ๋ยเพื่อกันการสูญเสียธาตุอาหารพืช
ภาพที่ 3 หลักการใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ